
เข้าข่ายความผิดใด?
#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
• การไม่ยืนอยู่ข้างหน่วยงานความมั่นคงของตนเองในช่วงข้อพิพาทชายแดน
• การพูดเข้าข้างผู้นำกัมพูชาทั้งที่มีการละเมิดอธิปไตยไทย
• การกล่าวอ้างความสัมพันธ์ส่วนตัว (เช่น เรียกตัวเองว่าหลาน และพูดอ้อนวอนศัตรูว่าตนเองกำลังเดือดร้อนจากการปฎิบัติหน้าที่รักษาอธิปไตยของไทยซึ่งกำลังมีข้อพิพาทเรื่องพรมแดนกับกัมพูชา โดยเรียกผู้นำกัมพูชาเหมือนดังญาติสนิทว่าลุง) เพื่อเบี่ยงเบนจากผลประโยชน์ของชาติ
• การที่นายกฯไทยเลือกใช้ถ้อยคำที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อหน้าผู้นำกัมพูชา ทั้งที่ข้อเท็จจริง ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดข้อตกลงและบุกรุกอธิปไตยไทย
ในกรณีคลิปเสียงสนทนาของนายกฯแพทองธารกับฮุนเซนผู้นำกัมพูชา
เข้าข่ายความผิดใด?
เพื่อวิเคราะห์คำถามนี้อย่างลึกซึ้ง ควรพิจารณาองค์ประกอบทางการเมืองและกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความจงรักภักดีและความผิดทางอาญาในบริบทของการแสดงออกและการกระทำของบุคคลในสถานการณ์ข้อพิพาทชายแดน รวมทั้งสำรวจแนวคิดทางรัฐศาสตร์และจริยธรรมเกี่ยวกับการสนับสนุนหรือไม่สนับสนุนหน่วยงานความมั่นคงของรัฐในช่วงวิกฤต รวมถึงการวิเคราะห์คำพูดและการกระทำของผู้นำไทยและกัมพูชาในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและผลประโยชน์ชาติ เพื่อให้ได้คำตอบที่ครอบคลุมและลึกซิ้ง
หากพิจารณาจากข้อมูลที่ให้มาเป็นเบื้องต้น อาจเข้าข่ายความผิดที่เกี่ยวข้องกับ ความมั่นคงของรัฐ และ จริยธรรมทางการเมือง โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวกับ การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือ การกระทำที่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของชาติ
การวิเคราะห์ตามข้อกล่าวหา สามารถแยกพิจารณาเป็นประเด็นได้ดังนี้:
▍ การไม่ยืนอยู่ข้างหน่วยงานความมั่นคงของตนเองในช่วงข้อพิพาทชายแดน และการพูดเข้าข้างผู้นำกัมพูชาทั้งที่มีการละเมิดอธิปไตยไทย:
→ การกระทำลักษณะนี้อาจเข้าข่ายการ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะผู้นำประเทศที่ต้องปกป้องอธิปไตยและผลประโยชน์ของชาติ รวมถึงอาจเข้าข่ายการ ช่วยเหลือหรือสนับสนุนฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ (เช่น มาตรา 119, 120, หรือ 121 แล้วแต่พฤติการณ์) หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง
▍ การกล่าวอ้างความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อเบี่ยงเบนจากผลประโยชน์ของชาติ:
→ การใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัว (เช่น การเรียกตัวเองว่าหลาน การพูดอ้อนวอน) เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่การรักษาผลประโยชน์ของชาติ อาจเข้าข่าย การขัดกันแห่งผลประโยชน์ หรือ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งอาจนำไปสู่ความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับจริยธรรมของนักการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อย่างไรก็ตาม การจะชี้ชัดว่าเป็นการเบี่ยงเบนจากผลประโยชน์ของชาติหรือไม่ ต้องพิจารณาบริบทและผลลัพธ์ของการกระทำนั้นอย่างละเอียด
▍ การที่นายกฯไทยเลือกใช้ถ้อยคำที่ลดทอนความน่าเชื่อถือของแม่ทัพภาคที่ 2 ต่อหน้าผู้นำกัมพูชา:
→ การกระทำนี้อาจไม่เข้าข่ายความผิดทางอาญาโดยตรง แต่เป็นการกระทำที่ บ่อนทำลายขวัญกำลังใจ ของเจ้าหน้าที่รัฐ และ ลดทอนความน่าเชื่อถือ ของหน่วยงานความมั่นคง ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อการดำเนินงานด้านความมั่นคงของประเทศ และอาจเข้าข่ายการ ประพฤติมิชอบทางจริยธรรม สำหรับผู้นำทางการเมือง
▍ มุมมองทางกฎหมายและจริยธรรม
✦ ประมวลกฎหมายอาญา:
→ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร (มาตรา 113-119):
หากการกระทำดังกล่าวมีเจตนากระทำการใดๆ เพื่อให้ราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้ประเทศชาติเสื่อมเสียเอกราช อธิปไตย หรือตกอยู่ในภาวะที่ไม่มีความมั่นคง การกระทำนั้นอาจเข้าข่ายความผิดเหล่านี้ได้ แต่ต้องพิสูจน์เจตนาและผลการกระทำที่ชัดเจน
→ ความผิดต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (มาตรา 120-128):
หากมีการกระทำที่ทำให้ประเทศเสื่อมเสียเกียรติยศ หรือเป็นภัยต่อความสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศ แต่ในกรณีนี้ ข้อกล่าวหาดูเหมือนจะเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อผลประโยชน์ของไทยเองมากกว่า
→ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต:
มาตราต่างๆ ใน พ.ร.บ. นี้ อาจนำมาใช้พิจารณาได้ หากการกระทำดังกล่าวเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือมีพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางทุจริต หรือกระทำการอันเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ โดยเฉพาะมาตราที่เกี่ยวกับ การฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง สำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
✦ หลักจริยธรรมทางการเมือง:
แม้บางการกระทำอาจไม่เข้าข่ายความผิดทางอาญาโดยตรง แต่ถือเป็นการผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง สำหรับผู้นำประเทศ ซึ่งอาจส่งผลต่อความชอบธรรมในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง และอาจนำไปสู่การถอดถอนออกจากตำแหน่งได้
▍ ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม
การจะตัดสินว่าการกระทำเหล่านี้เข้าข่ายความผิดใดอย่างแน่ชัด จำเป็นต้องมีการสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างละเอียด โดยพิจารณาจาก:
→ หลักฐาน: ต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนและเพียงพอ เช่น คลิปเสียงที่ถูกตรวจสอบความถูกต้องและไม่มีการตัดต่อ ข้อความ เอกสาร หรือพยานบุคคลที่ยืนยันการกระทำดังกล่าว
→ เจตนา: การกระทำนั้นมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศชาติหรือไม่ หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝง
→ ผลลัพธ์: การกระทำนั้นก่อให้เกิดความเสียหายต่ออธิปไตย ความมั่นคง หรือผลประโยชน์ของชาติในทางปฏิบัติมากน้อยเพียงใด
→ บริบท: สถานการณ์และบริบทของการสนทนาและเหตุการณ์ทั้งหมดมีความสำคัญต่อการตีความ
▍ โดยสรุป หากข้อกล่าวหาเป็นจริงและพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ หรือ การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ รวมถึงการฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตีความกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการสอบสวน
คุณมีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการกระทำเหล่านี้ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของไทย?