
รัฐประหารพระยามโนปกรณ์นิติธาดา?
#อัษฎางค์ ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
การตีความสถาบันผ่านแว่นของความเกลียดชัง
“รัฐประหารเกิดจากใคร?
เมื่อความผิดของนักการเมืองถูกโยนให้พระราชา”
กลุ่มคนที่เป็นปฏิกษัตริย์นิยม มักกล่าวหาว่า พระมหากษัตริย์อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร และรัฐประหารคือตัวถ่วงความเจริญของชาติ อันหมายถึง พระมหากษัตริย์เป็นต้นตอของปัญหา โดยคนเหล่านั้นมองข้ามต้นตอของการเกิดรัฐประหารนั้นมาจากความฉ้อฉลของนักการเมือง
เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีฯ ถูกตีความว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงสร้างความกังวลอย่างมากจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม รวมถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
เหตุการณ์ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐประหารครั้งแรกของประเทศไทยเมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2476 ซึ่งนำโดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น มีสาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งทางการเมืองและแนวคิดทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างรุนแรงในหมู่คณะผู้บริหารประเทศหลังการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 โดยมีสาเหตุสำคัญดังนี้:
▍ ปัญหาเค้าโครงเศรษฐกิจ (สมุดปกเหลือง) ของนายปรีดี พนมยงค์:
นี่คือชนวนหลักที่ทำให้เกิดวิกฤตการเมือง นายปรีดี พนมยงค์ (หลวงประดิษฐ์มนูธรรม) หนึ่งในผู้นำคณะราษฎรและรัฐมนตรี ได้เสนอ “เค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ” หรือที่รู้จักกันในนาม “สมุดปกเหลือง”
สาระสำคัญของเค้าโครงนี้คือการเสนอให้รัฐเป็นเจ้าของที่ดินและปัจจัยการผลิตที่สำคัญ มีการจัดระเบียบเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ และให้รัฐจัดหางานให้ราษฎรทุกคน
แนวคิดนี้ถูกมองว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามและน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งในยุคนั้น โดยเฉพาะในหมู่ชนชั้นนำและกลุ่มอนุรักษ์นิยม
▍ ความหวาดระแวงต่อคอมมิวนิสต์:
หลังการปฏิวัติ 2475 ประเทศไทยยังคงมีความหวาดระแวงต่อภัยคอมมิวนิสต์สูง เนื่องจากกระแสคอมมิวนิสต์กำลังแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก
เมื่อเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีฯ ถูกตีความว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงสร้างความกังวลอย่างมากจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม รวมถึงพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และพระยามโนปกรณ์นิติธาดา
▍ ความขัดแย้งภายในคณะราษฎรและคณะรัฐมนตรี:
แม้คณะราษฎรจะร่วมกันเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่คณะราษฎรเองก็มีความเห็นที่แตกต่างกันในหลายประเด็น โดยเฉพาะแนวทางในการบริหารประเทศ
เค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดีฯ ทำให้เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงภายในคณะรัฐมนตรีเอง กลุ่มของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งมีแนวคิดอนุรักษ์นิยมมากกว่า ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับแนวคิดนี้ และเห็นว่าเป็นอันตรายต่อประเทศชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์
▍ ความสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์:
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับเค้าโครงเศรษฐกิจฉบับนี้ และได้พระราชทานบันทึกวิจารณ์อย่างรุนแรง
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งมีความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ ก็ เห็นด้วยกับพระบรมราชวินิจฉัยนี้
จากสาเหตุเหล่านี้ ทำให้พระยามโนปกรณ์นิติธาดาตัดสินใจใช้อำนาจที่มีอยู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ออกพระราชกฤษฎีกาปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อหยุดยั้งแนวคิดที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
▍ โครงสร้างอำนาจรัฐยังไม่มั่นคง: วิกฤติรัฐใหม่
ในขณะที่ คณะราษฎร (ฝ่ายสภา) ต้องการเร่งปฏิรูปประเทศ แก่กลุ่มข้าราชการประจำและชนชั้นนำเดิม (นำโดยพระยามโนฯ) ไม่ไว้วางใจการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ เนื่องจาก ประเทศไทยเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่ระบอบรัฐธรรมนูญได้ไม่ถึง 1 ปี (24 มิ.ย. 2475 → เม.ย. 2476) โครงสร้างของรัฐใหม่ เช่น สภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญ และบทบาทของพระมหากษัตริย์ ยังอยู่ระหว่างการปรับตัว
▍ พระยามโนฯ และชนชั้นนำเก่ารู้สึกว่า “คณะราษฎรเร่งเปลี่ยนเร็วเกินไป” จึงหวั่นไหวต่อความมั่นคงของรัฐแบบเดิม
ดังนั้น การปิดสภาคือการ “ระงับพลังฝ่ายสภา” ชั่วคราว
ชนชั้นนำเดิมมองว่าคณะราษฎรต้องการ เปลี่ยนระบอบ อย่างถอนรากถอนโคน ไม่ใช่แค่เปลี่ยน “รูปแบบการปกครอง” แต่ข้อเสนอของปรีดีถูกมองว่าอาจ “ล้มเจ้า” หรือ “ยึดระบบศักดินา” แบบคอมมิวนิสต์
เหตุการณ์ 1 เมษายน 2476 เกิดจากความขัดแย้งเชิงอุดมการณ์และโครงสร้างระหว่าง “ฝ่ายปฏิรูปประชาธิปไตย” (คณะราษฎร) กับ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” (นำโดยพระยามโนฯ)
การเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี เป็นชนวนหลัก
ส่วนการปิดสภาคือการ “ตอบโต้เชิงอำนาจ“ ซึ่งถูกกล่าวหาว่า เหตุการณ์นี้เป็นทั้ง “การรัฐประหารเชิงโครงสร้าง” โดยแกล้งมองข้าม “การเสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจของปรีดี ซึ่งถูกมองว่ามีลักษณะคล้ายคลึงกับลัทธิคอมมิวนิสต์ ซึ่งเป็นสิ่งต้องห้ามและน่าหวาดกลัวอย่างยิ่งในยุคนั้น” คือ จุดเริ่มต้นของปัญหา
▍บทสรุป: รัฐประหารคือปฏิกิริยาตอบโต้ ไม่ใช่ต้นเหตุของความเสื่อม
เหตุการณ์ 1 เมษายน 2476 ไม่อาจตัดสินได้ด้วยสายตาที่มองเพียงปลายเหตุ หากแต่ต้องพิจารณารากเหง้าของความขัดแย้งเชิงโครงสร้างในช่วงเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สู่รัฐธรรมนูญ ซึ่งยังไร้เสถียรภาพและไร้ฉันทามติร่วมทางอุดมการณ์
การที่พระยามโนปกรณ์นิติธาดาตัดสินใจปิดสภา มิใช่เพราะพระมหากษัตริย์สั่งการ แต่เป็นปฏิกิริยาต่อข้อเสนอของปรีดี พนมยงค์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในยุคที่คอมมิวนิสต์เป็นอสูรร้ายของโลกเสรี การกล่าวหาว่า “สถาบันอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร” จึงเป็นการตีความอย่างเลือกข้าง ปราศจากการเข้าใจพลวัตทางอำนาจในบริบทประวัติศาสตร์
ที่น่ากังวลยิ่งกว่าการปิดสภา คือการปิดกั้นความจริงในประวัติศาสตร์ เมื่อบางกลุ่มเลือกมองข้ามบทบาทของนักการเมืองผู้เสนอแนวคิดสุดโต่ง แล้วโยนทุกความผิดให้สถาบันพระมหากษัตริย์
การปกป้องระบอบประชาธิปไตยแท้จริง มิได้หมายถึงการนิ่งเฉยต่อความฉ้อฉลของนักการเมือง หรือการยกย่องแนวคิดอุดมคติที่อาจนำพาประเทศไปสู่ความหายนะ หากแต่หมายถึงการกล้ายืนหยัดปกป้องโครงสร้างความมั่นคงของชาติจากอำนาจใดก็ตามที่ไม่ฟังเสียงประชาชน