
“ช่วยเหลือหรือแทรกแซง? ใต้ภาพสันติภาพคือเกมอำนาจ”
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
วิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์: ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา กับความเสี่ยงของการแทรกแซงจากมหาอำนาจ
I. บทนำ
สถานการณ์ตึงเครียดตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา ได้ทวีความซับซ้อนจากกระแสข่าวการเข้าแทรกแซงของสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะการแสดงบทบาทของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ในฐานะ “คนกลาง” เสนอให้มีการหยุดยิง แลกกับข้อตกลงทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน จีนซึ่งเป็นพันธมิตรยุทธศาสตร์ของกัมพูชา อาจมองว่าการแทรกแซงดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่ออิทธิพลในภูมิภาค ซึ่งอาจนำไปสู่การเผชิญหน้าทางอ้อมระหว่างจีน–สหรัฐฯ บนแผ่นดินอาเซียน
II. วิเคราะห์บทบาทของสหรัฐฯ: การทูต หรือการแทรกแซง?
จากโพสต์ที่อ้างว่าเป็นของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ (หากได้รับการยืนยันว่าเป็นของจริง) มีประเด็นสำคัญดังนี้:
• แสดงตนเป็น “คนกลางเจรจาหยุดยิง” ระหว่างไทย–กัมพูชา
• ย้ำว่า “จะไม่ทำข้อตกลงทางการค้า” กับฝ่ายใด หากยังคงมีสงคราม
• อ้างอิงกรณีความขัดแย้งระหว่าง อินเดีย–ปากีสถาน ว่าเป็นต้นแบบการไกล่เกลี่ย
แม้ข้อความเหล่านี้ดูผิวเผินอาจสะท้อนเจตนา “สร้างสันติภาพ“ แต่ในมุมของจีน อาจถูกตีความว่าเป็นความพยายามของสหรัฐฯ ในการ แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอาเซียน และวางตัวเป็น “ผู้จัดระเบียบภูมิภาค” อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งขัดกับยุทธศาสตร์ของจีนในอินโด–แปซิฟิก
III. จีน–กัมพูชา: ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง
• จีนถือเป็นผู้สนับสนุนหลักของรัฐบาลกัมพูชา ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การทหาร และโครงสร้างพื้นฐาน
• กัมพูชาเข้าร่วมโครงการ Belt and Road Initiative (BRI) และมีความเชื่อมโยงกับฐานทัพเรือ Ream ซึ่งถูกวิพากษ์ว่าอาจเปิดให้กองทัพจีนใช้
• หากสหรัฐฯ เข้ามาแทรกแซงจริง จีนอาจตอบโต้ด้วยการ “อัดฉีดสนับสนุนกัมพูชา” มากขึ้น และมองว่าไทยและสหรัฐฯ กำลังกดดันพันธมิตรของตนทางอ้อม
IV. ความเสี่ยงเชิงภูมิรัฐศาสตร์: Proxy War บนแผ่นดินอาเซียน?
• ความขัดแย้งไทย–กัมพูชาปัจจุบันมีลักษณะของ “สงครามชายแดน” ที่มีการปะทะและใช้กำลังทหารจริง
• หากมหาอำนาจเข้าแทรกแซงโดยไม่ผ่านกลไกพหุภาคี เช่น อาเซียนหรือสหประชาชาติ ความขัดแย้งอาจกลายเป็น “สงครามตัวแทน” (Proxy War)
• ความขัดแย้งทางทหารมีแนวโน้มจะขยายสู่มิติอื่น เช่น สงครามข้อมูล การตอบโต้ทางเศรษฐกิจ หรือการแข่งขันด้านอาวุธในภูมิภาค
V. ข้อเสนอเชิงยุทธศาสตร์สำหรับไทย
1. วางยุทธศาสตร์สมดุลระหว่างมหาอำนาจ
• ไทยต้องรักษาสมดุลระหว่างสหรัฐฯ และจีนโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดอย่างชัดเจน
• เน้นภาพลักษณ์ “ผู้ปกป้องอธิปไตยตามหลักกฎหมายสากล” แต่ไม่ใช่ “แนวร่วมของมหาอำนาจ”
2. การจัดการความคาดหวัง (Expectation Management)
• ยืนยันหลักป้องกันตนเองตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะข้อ 51 แห่งกฎบัตรสหประชาชาติ
• ประกาศจุดยืน “ป้องกันตนเองเพื่อสันติภาพ” ในทุกเวทีระหว่างประเทศ
• สื่อสารว่าไทยยังยึดมั่นในกลไกทวิภาคีและพหุภาคี ไม่ยอมรับอำนาจของศาลโลกจากคำพิพากษาปี 1962
3. การสื่อสารในภาวะวิกฤต (Crisis Communication)
ก. Key Messages ที่ไทยควรใช้
• “รัฐบาลไทยยึดมั่นในสันติวิธี และปกป้องอธิปไตยอย่างมีเหตุผล”
• “ไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับทุกกลไกสันติภาพระหว่างประเทศ”
• “ไทยไม่เคยรุกราน แต่จะตอบโต้หากถูกคุกคาม”
ข. ช่องทางการสื่อสาร
• แถลงการณ์รัฐอย่างต่อเนื่อง: โดยนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศ
• การสื่อสารผ่านสื่อโลก: BBC, Al Jazeera, Reuters เพื่อควบคุม narrative
• สื่อออนไลน์: เพื่อตอบโต้ข่าวปลอมและส่งเสริมข้อเท็จจริงอย่างรวดเร็ว
ค. การจัดการสงครามข้อมูล (Information Warfare)
• ตั้งหน่วยเฉพาะกิจตรวจสอบข่าวปลอม ที่อาจถูกใช้เป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์
• ใช้หลักฐานเชิงเทคนิค เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม รายงานจากองค์กรอิสระ เพื่อเสริมความน่าเชื่อถือ
VI. บทสรุป
ความขัดแย้งไทย–กัมพูชานั้นอาจเริ่มต้นจากข้อพิพาทชายแดน แต่หากไม่บริหารจัดการอย่างรอบคอบ มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะลุกลามเป็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจ
ไทยจึงจำเป็นต้อง วางตนอย่างมีสติและมียุทธศาสตร์ เพื่อรักษาอธิปไตย สร้างความชอบธรรม และหลีกเลี่ยงการตกเป็นเบี้ยล่างในเกมอำนาจของโลก