Screenshot
กรอบความตกลงการค้าต่างตอบแทนไทย–สหรัฐฯ (Reciprocal Trade Framework)
1. ภาพรวม
• ข้อตกลงที่ทำเนียบขาวเผยแพร่ มีวัตถุประสงค์เพื่อ เสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจ การลงทุน และห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ระหว่างสองประเทศ
• อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม คาดว่าจะลงนามสมบูรณ์ ภายในสิ้นปี 2568
2. โครงสร้างหลักของกรอบข้อตกลง
▪️ การลดภาษีและเปิดตลาด
• ไทยจะ ยกเลิกหรือผ่อนปรนภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ประมาณ 99% ครอบคลุมสินค้าอุตสาหกรรม เกษตร พลังงาน และเครื่องบิน
• สหรัฐฯ จะ คงอัตราภาษีสินค้าจากไทยไว้ที่ 19% แต่เปิดช่องพิจารณาลดบางรายการเหลือ 0% ในอนาคต
• ไทยจะลดอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff barriers) เช่น การรับรองมาตรฐาน FDA ด้านยานยนต์ อาหาร และยา รวมถึงการเปิดตลาดพลังงาน และการนำเข้าเอทานอล
3. ข้อตกลงเชิงพาณิชย์เพิ่มเติม
• การจัดซื้อเครื่องบินสหรัฐฯ 80 ลำ มูลค่ารวมประมาณ 18.8 พันล้านดอลลาร์ สหรัฐฯ
• ไทยจะนำเข้าสินค้าการเกษตร (ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กากถั่วเหลือง DDGS) มูลค่าราว 2.6 พันล้านดอลลาร์ ต่อปี
• ไทยจะนำเข้าพลังงาน (ก๊าซ LNG น้ำมันดิบ อีเทน) มูลค่าประมาณ 5.4 พันล้านดอลลาร์ ต่อปี
4. ความร่วมมือด้านแร่สำคัญและเทคโนโลยี
• ลงนาม MOU ว่าด้วย การร่วมลงทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีในห่วงโซ่อุปทานแร่หายาก (critical minerals)
• ทั้งสองประเทศจะ แบ่งปันข้อมูล การวิเคราะห์ และเปิดการลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมสำคัญ ภายใต้กฎหมายของแต่ละฝ่าย
• เน้นการ สร้างมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ และป้องกันการบิดเบือนราคาตลาด
5. ข้อผูกพันเพิ่มเติม
• ไทยรับพันธกรณีด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อม (ต่อต้านแรงงานเด็ก แรงงานบังคับ และ IUU fishing)
• ไทยยอมรับข้อตกลง WTO ด้านประมง
• ไทยจะ ไม่ออกภาษีบริการดิจิทัล (Digital Service Tax)
• ไม่จำกัดสิทธิการถือครองธุรกิจโทรคมนาคมของต่างชาติ
• เปิดเสรีการเคลื่อนไหวของข้อมูลดิจิทัล
6. สถานะทางกฎหมาย
• ข้อตกลงนี้เป็น กรอบความร่วมมือเชิงนโยบาย (non-binding)
ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศ และ สามารถยกเลิกได้โดยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
7. เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์
• ขยายตลาดส่งออกและโอกาสทางธุรกิจระหว่างไทย–สหรัฐฯ
• ลดอุปสรรคทางการค้า และพัฒนาโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานระดับภูมิภาค
• เสริมความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และพลังงานของทั้งสองประเทศในบริบท Indo-Pacific
• ตอกย้ำบทบาทของไทยในฐานะ “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์เชิงยุทธศาสตร์” ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สิ่งที่ไทย “ได้–เสี่ยง–ต้องระวัง” จากกรอบข้อตกลงไทย–สหรัฐฯ
1. ไทยเปิดตลาดสินค้าอเมริกาเกือบทั้งหมด (99%)
เพื่อแลกกับการเข้าถึงเทคโนโลยี พลังงาน และการลงทุน แต่ต้องเฝ้าระวังการแข่งขันกับสินค้าในประเทศ โดยเฉพาะภาคเกษตรและอุตสาหกรรมพื้นฐาน
2. ความร่วมมือด้านแร่หายาก (Critical Minerals)
เปิดโอกาสให้ไทยกลายเป็นฐานการลงทุนใหม่ของห่วงโซ่อุปทานโลก สร้างโอกาสถ่ายทอดเทคโนโลยีและเพิ่มมูลค่าอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ต้องบริหารความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน
3. พันธกรณีด้านแรงงานและสิ่งแวดล้อม
ช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของไทยในเวทีโลกและสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่เพิ่มภาระต่อระบบกำกับดูแลแรงงานและอุตสาหกรรมประมงภายในประเทศ
4. การเปิดเสรีดิจิทัล (Digital Liberalization)
ช่วยดึงดูดการลงทุนจากเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพต่างชาติ แต่ลดอำนาจรัฐในการจัดเก็บภาษีดิจิทัลและควบคุมข้อมูลในประเทศ ซึ่งต้องมีกลไกกำกับสมดุลระหว่าง “เสรีภาพ–อธิปไตยข้อมูล”
5. สถานะ Non-Binding คือจุดแข็งของไทย
เพราะข้อตกลงนี้ไม่ผูกพันทางกฎหมาย ไทยสามารถถอนหรือปรับกรอบความร่วมมือได้ หากไม่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจหรืออธิปไตยของประเทศ
6. ในเชิงยุทธศาสตร์
กรอบข้อตกลงนี้คือ “Soft Economic Alignment” — ความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ไม่ถึงขั้นเป็นพันธมิตรทางทหาร แต่ช่วยยกระดับความสัมพันธ์เชิงยุทธศาสตร์กับสหรัฐฯ
ไทยจึงต้องรักษาสมดุลระหว่าง “การเปิดประเทศเพื่อโอกาสใหม่” และ “การคุ้มครองผลประโยชน์แห่งชาติ”สรุป:
ข้อตกลงนี้คือ “Soft Economic Alignment” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มุ่งสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในระยะยาว แต่ไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่าง “การเปิดตลาด” กับ “การคุ้มครองผลประโยชน์ชาติ”
สรุป:
ข้อตกลงนี้คือ “Soft Economic Alignment” ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่มุ่งสร้างพันธมิตรทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีในระยะยาว แต่ไทยจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่าง “การเปิดตลาด” กับ “การคุ้มครองผลประโยชน์ชาติ”