
“พระกับ Influencer ในยุคนี้
เราจะได้ข้อคิดจากใครไปใช้มากกว่ากัน?”
จากเพจ #วัยรุ่นตื่นรู้
สรุปมุมมองจากน้องน้ำอิง (ฝ่ายค้าน)
วัยรุ่นในยุคนี้จำนวนไม่น้อย เริ่มหันหลังให้กับพระ
1. เพราะภาพลักษณ์ของพระในสังคมปัจจุบัน
ถูกบั่นทอนจากข่าวด้านลบที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนหมดศรัทธา
2. เป้าหมายของคนรุ่นใหม่ชัดเจน พวกเขาอยากประสบความสำเร็จ มีเงินเลี้ยงดูครอบครัว สอบติดมหาวิทยาลัยในฝัน และมีบ้านมีรถ
ซึ่งในมุมของน้ำอิง มองว่า
พระไม่ได้มี ข้อคิด ที่ตอบโจทย์เป้าหมายเหล่านี้โดยตรง
ในขณะที่ข้อคิดจาก influencer กลายเป็นแนวทางที่ จับต้องได้
ปล. น้องน้ำอิง (รับบท เป็นฝ่ายค้าน)
_______________________________________________
ลุงเอ็ดดี้ #อัษฎางค์ยมนาค
ขออธิบาย น้องน้ำอิง (ที่รับบท เป็นฝ่ายค้าน) ให้เห็นอีกมุมหนึ่งของพระ ดังนี้
วิเคราะห์ประโยค “ถ้าเราต้องการบ้าน รถ ชื่อเสียง ทำไมเราต้องฟังพระที่ไม่มีอะไรเลย?”ถูกหรือผิด?
ความคิดและคำพูดนี้ถูกต้อง ในแง่ความรู้สึกและมุมมองของวัยรุ่นยุคใหม่
1. เป้าหมายของคนรุ่นใหม่เปลี่ยนไปจริง
→ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ กลายเป็นสิ่งจำเป็นมากกว่าการแสวงหาทางธรรมในสายตาเยาวชน
• ประโยคนี้สะท้อนความรู้สึกจริงของเยาวชนจำนวนหนึ่งในยุคปัจจุบัน ที่มองว่าพระสงฆ์ไม่ได้มีทรัพย์สินหรือความสำเร็จทางโลกแบบที่พวกเขาต้องการ เช่น บ้าน รถ หรือชื่อเสียง
2. พระหลายรูปไม่ได้สื่อสารให้สอดคล้องกับโลกยุคใหม่
• เนื้อหาธรรมะมักเน้นความสงบ ปล่อยวาง หรือบุญบาป ซึ่งอาจดู “ไม่ตอบโจทย์” ความทะเยอทะยานของวัยรุ่น
→ พระจำนวนมากยังสื่อสารแบบเดิม ในขณะที่เยาวชนคุ้นชินกับ Storytelling และ Real-life Example แบบ influencer
• วัยรุ่นยุคนี้ให้ความสำคัญกับเป้าหมายที่จับต้องได้ เช่น ความสำเร็จทางการเงินและสังคม และมักมองหาแรงบันดาลใจหรือแนวทางจากผู้ที่ประสบความสำเร็จในสิ่งเหล่านั้นจริง ๆ เช่น Influencer ที่มีประสบการณ์ตรงและสามารถพิสูจน์ได้
3. Influencer มีภาพที่ relatable และ real
• การที่ influencer บางคนล้มลุกคลุกคลาน แล้ว “พูดตรง” ถึงความลำบากที่เคยผ่านมาก่อน
→ ทำให้คนรุ่นใหม่รู้สึกว่า “เขาเคยเป็นเหมือนเรา” และ “เราก็ไปให้ถึงแบบเขาได้”
→ เกิด แรงบันดาลใจที่จับต้องได้
4. ข่าวด้านลบเกี่ยวกับพระในสังคมไทยก็มีส่วนทำให้ความศรัทธาของเยาวชนลดลง และรู้สึกว่าคำสอนของพระไม่ตอบโจทย์ชีวิตจริงในยุคปัจจุบัน
_______________________________________________
อย่างไรก็ตาม การแสดงความเห็นนี้บ่งบอกถึงความเข้าใจธรรมะแบบตื้นเขิน ปัญหาคือ เด็กอาจไม่เคยฟังพระดี หรือฟังอย่างตั้งใจ จึงเหมารวมว่าพระไม่มีอะไรให้เรียนรู้
พระไม่ได้สอนแค่ “ละโลก” อย่างเดียว แต่ยังมีคำสอนเชิงกลยุทธ์ เช่น ความเพียร ความอดทน การตั้งเป้าหมาย ฯลฯ
_______________________________________________
1. ทำไมพระไม่สอนเรื่อง “อยากมีเงินเลี้ยงดูครอบครัว สอบติดมหาวิทยาลัยในฝัน และมีบ้านมีรถ”
พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ในฐานะผู้เผยแผ่หลักธรรมะ มักไม่ได้สอนเรื่องเป้าหมายทางวัตถุหรือความสำเร็จในเชิงโลกียะโดยตรง เช่น การมีเงิน บ้าน รถ หรือสอบติดมหาวิทยาลัยในฝัน
→ เพราะเป้าหมายหลักของศาสนาพุทธคือการนำพาผู้คนไปสู่ความพ้นทุกข์และความสุขที่แท้จริง ซึ่งเน้นการฝึกจิตใจและการปล่อยวาง
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการแสวงหาทรัพย์สินหรือความสำเร็จในชีวิตทางโลก หากแต่สอนให้แสวงหาอย่างถูกต้อง มีศีลธรรม และรู้จักประมาณตน
• ในทางปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงสอนหลักธรรมที่เอื้อต่อความสำเร็จในชีวิต
→ เช่น “อิทธิบาท 4” (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา)
ซึ่งเป็นเครื่องมือให้ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตั้งใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การงาน หรือเป้าหมายส่วนตัว
→ และยังมีหลัก “ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4”
(อุฎฐานสัมปทา อารักขสัมปทา กัลยาณมิตตตา สมชีวิตา)
ที่สอนให้ขยันหมั่นเพียร รู้จักรักษาทรัพย์ เลือกคบคนดี และใช้จ่ายอย่างพอประมาณ
→ สรุปคือ พระไม่ได้สอนให้ยึดติดกับเป้าหมายทางวัตถุ แต่สอนหลักการและทัศนคติที่นำไปสู่ความสำเร็จและความสุขอย่างยั่งยืนในชีวิตจริง
_______________________________________________
2. พระไม่ได้มีประสบการณ์สร้างความมั่งคั่ง จะสอนให้คนประสบความสำเร็จด้านความร่ำรวยได้อย่างไร
แม้พระสงฆ์จะไม่ได้มีประสบการณ์ตรงในการสร้างทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งแบบฆราวาส แต่หลักธรรมในพระพุทธศาสนากลับมีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการสร้างฐานะและความมั่งคั่งในชีวิตฆราวาส ตัวอย่างเช่น
• หลักอิทธิบาท 4: สอนให้มีความรักในสิ่งที่ทำ (ฉันทะ) ขยันพยายาม (วิริยะ) มีสมาธิจดจ่อ (จิตตะ) และรู้จักพิจารณาแก้ไข (วิมังสา) ซึ่งเป็นปัจจัยของความสำเร็จในทุกเรื่อง ไม่จำกัดเฉพาะเรื่องธรรมะ
• ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ 4: สอนให้ขยันหมั่นเพียร (อุฎฐานสัมปทา) รู้จักเก็บรักษาทรัพย์ (อารักขสัมปทา) เลือกคบคนดี (กัลยาณมิตตตา) และใช้จ่ายอย่างพอประมาณ (สมชีวิตา) หลักเหล่านี้เป็นรากฐานของความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน
• การรู้จักประมาณและวางท่าทีที่ถูกต้องต่อเงิน: พระไพศาล วิสาโล อธิบายว่าพระอาจไม่ได้มีประสบการณ์ตรงด้านการเงิน แต่หลักธรรมะช่วยให้เราตั้งท่าทีที่ถูกต้องกับเงิน รู้จักใช้จ่ายและเก็บออมอย่างมีสติ ไม่ยึดติดหรือหลงใหลกับวัตถุเกินไป
→ แม้พระจะไม่ได้ร่ำรวยหรือมีประสบการณ์ตรงในโลกธุรกิจ แต่หลักธรรมเหล่านี้เป็น “สูตรสำเร็จ” ที่ฆราวาสนำไปปรับใช้เพื่อสร้างความมั่งคั่งและความสำเร็จได้จริง หลายเศรษฐีในสมัยพุทธกาล เช่น เมณฑกเศรษฐี โฆษกเศรษฐี ก็ประสบความสำเร็จจากการนำหลักธรรมเหล่านี้ไปใช้
→ “หลักวิชาในการสร้างความรวยตามพุทธวิธีของพระองค์นั้น ก็คือ ‘การขยันทำมาหากินและการขยันทำความดี จะทำให้ชีวิตประสบสำเร็จ จนกระทั่งรวยทรัพย์และบรวยศีลธรรมในที่สุด
_______________________________________________
สรุป
• พระไม่ได้สอนเรื่องเป้าหมายทางวัตถุโดยตรง เพราะศาสนาพุทธเน้นการพ้นทุกข์และความสุขที่แท้จริง แต่ก็มีหลักธรรมที่เอื้อต่อการประสบความสำเร็จและสร้างฐานะอย่างถูกต้อง
• แม้พระจะไม่ได้มีประสบการณ์สร้างความมั่งคั่งโดยตรง แต่หลักธรรมะที่สอนสามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อความสำเร็จและความร่ำรวยในชีวิตฆราวาสได้จริง
_______________________________________________