
บททดสอบนิติรัฐไทยในกรณีทักษิณ ชินวัตร: การพิจารณาผ่านมิติรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ และสังคมวิทยาการเมือง
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษากรณีการไม่ดำเนินการควบคุมตัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกตัดสินจำคุก 8 ปีตามคำพิพากษาศาล โดยวิเคราะห์ผ่านกรอบแนวคิดนิติรัฐ (Rule of Law) และความชอบธรรมในการใช้กฎหมายของรัฐไทย ทั้งในเชิงนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และสังคมวิทยาการเมือง อาศัยกรณีมติของแพทยสภา ซึ่งระบุว่าไม่มีหลักฐานยืนยันอาการป่วยวิกฤตจริงแต่มีการออกใบรับรองแพทย์ที่นำไปสู่การหลีกเลี่ยงโทษจำคุก เป็นจุดตั้งต้นของการวิเคราะห์เชิงโครงสร้างรัฐและการรับรู้ของสังคมที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม
1. บทนำ
หลักการนิติรัฐถือเป็นรากฐานสำคัญของระบอบประชาธิปไตยที่ยั่งยืน โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค โปร่งใส และตรวจสอบได้ กรณีของนายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้รับการอภัยโทษเหลือโทษจำคุก 1 ปี โดยมิได้ถูกควบคุมตัวในเรือนจำตามกระบวนการของกฎหมาย อันมีมูลเหตุจากใบรับรองแพทย์ที่ภายหลังถูกแพทยสภาวินิจฉัยว่า ไม่มีหลักฐานรองรับอาการป่วยวิกฤตจริง จึงเป็นกรณีศึกษาที่สะท้อนความเปราะบางของหลักนิติรัฐในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม
2. มิติทางนิติศาสตร์: การบังคับโทษและความชอบด้วยกฎหมายของการลดโทษ
ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245–246 การบังคับโทษจำคุกจะต้องดำเนินการทันทีหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุด การนำผู้ต้องโทษออกนอกเรือนจำโดยอ้างเหตุผลทางการแพทย์ที่ไม่มีมูลรองรับจึงเท่ากับ ยังมิได้เริ่มการบังคับคดีตามกฎหมาย
ในกรณีนี้ หากการควบคุมตัวยังไม่เริ่มต้นอย่างชอบด้วยกฎหมาย การลดโทษผ่านการอภัยโทษอาจเข้าข่าย ไม่มีผลในทางกฎหมาย อันจะส่งผลให้ต้องพิจารณาการนับโทษใหม่ และอาจมีการดำเนินคดีต่อผู้ที่มีส่วนร่วมในการออกเอกสารเท็จเพื่อประโยชน์ทางการเมือง
3. มิติรัฐศาสตร์: ความชอบธรรมของรัฐและการเมืองของการให้อภัย
หลักการพื้นฐานของรัฐประชาธิปไตยคือนิติรัฐ (Rechtsstaat) ซึ่งกำหนดให้ กฎหมายอยู่เหนือบุคคลและอำนาจ หากรัฐล้มเหลวในการบังคับใช้กฎหมายกับบุคคลผู้มีอำนาจหรือตำแหน่งทางการเมืองในอดีต ย่อมทำให้ความชอบธรรมทางการเมือง (Political Legitimacy) เสื่อมถอย และเปิดช่องให้กลไกของรัฐถูกใช้เพื่อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์
กรณีนี้จึงอาจถือเป็น นิรโทษกรรมโดยพฤตินัย (de facto pardon) ซึ่งขัดต่อหลักการของรัฐสมัยใหม่ และสะท้อนให้เห็นว่าอำนาจรัฐถูกแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องมือรับใช้กลุ่มทุนการเมืองมากกว่าจะคุ้มครองสาธารณะ
4. มิติสังคมวิทยาการเมือง: ศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมและการรับรู้ของสาธารณชน
ในเชิงสังคมวิทยา รัฐสมัยใหม่ตั้งอยู่บนฐานของ ความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อกลไกความยุติธรรม เมื่อประชาชนรับรู้ว่า “ผู้มีอำนาจสามารถหลีกเลี่ยงโทษโดยใช้ช่องว่างของระบบ” โดยไม่ถูกตรวจสอบหรือรับผิด ย่อมเกิดภาวะ “วิกฤตความน่าเชื่อถือของรัฐ” (Crisis of State Legitimacy)
หากไม่มีการดำเนินการที่โปร่งใสและตรงไปตรงมา กรณีทักษิณจะกลายเป็น “ภาพจำ” ที่บั่นทอนศรัทธาของคนรุ่นใหม่ที่เติบโตมาในยุคที่เรียกร้องความเท่าเทียมทางกฎหมาย
5. ข้อเสนอเชิงนโยบายและกฎหมาย
- ควรมีการทบทวนกระบวนการออกใบรับรองแพทย์สำหรับผู้ต้องขัง ให้เป็นไปตามหลักวิชาชีพและมีกลไกตรวจสอบจากภายนอก
- ฝ่ายตุลาการควรมีบทบาทเชิงรุก ในการไต่สวนข้อเท็จจริงโดยไม่ต้องรอแรงกดดันทางการเมือง
- รัฐควรแสดงความโปร่งใสอย่างเป็นทางการ เพื่อยืนยันว่าไม่มีการใช้อำนาจแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
6. บทสรุป
กรณีของนายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่เพียงปัญหาเชิงกฎหมายส่วนบุคคล แต่คือ บททดสอบความมั่นคงของหลักนิติรัฐในประเทศไทย ที่สะท้อนว่าหลักการแห่งความเสมอภาคและการไม่เลือกปฏิบัติยังคงเป็นสิ่งที่รัฐไทยต้องต่อสู้เพื่อรักษาไว้ หากไม่สามารถดำรงหลักการนี้ได้ ความชอบธรรมของรัฐและระบอบประชาธิปไตยในสายตาประชาชนจะถูกบั่นทอนอย่างถาวร