
ทหารมีไว้ทำไม?
เมื่อเขมรรุกล้ำอธิปไตยของไทย
เมื่ออิหร่านยิงใส่ฐานทัพสหรัฐฯ
พิธายังถามคำถามนี้หรือไม่?
#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
ในการปราศรัยหาเสียงที่กาญจนบุรี เขากล่าวในเชิงตั้งคำถามว่า “80 ปี ประเทศไทย ทหารมีไว้ทำไม ก็จะไปรบกับใคร… ประเทศที่อยู่ใกล้ๆกัน ที่เคยทะเลาะกัน มันไม่ทะเลาะกันแล้ว ทุกวันนี้บางประเทศไม่ต้องมีกองทัพด้วยซ้ำไป ถ้าผู้นำฉลาดพอ มันคือเรื่องกฎกติกาสากล มันคือระเบียบโลก…”
พิธาเน้นย้ำว่าปัจจุบันการแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศควรใช้เครื่องมือที่หลากหลาย เช่น การทูต เศรษฐกิจ ข้อมูลข่าวสาร และการทหารเป็น “เครื่องมือสุดท้าย” เท่านั้น
ข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์: แม้โลกปัจจุบันจะเน้นการใช้การทูตและกลไกสันติภาพมากขึ้น แต่ “กองทัพ” ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการป้องกันประเทศและเป็นเครื่องมือสูงสุดของรัฐเมื่อการทูตล้มเหลว
มีตัวอย่างประเทศที่ลดบทบาทกองทัพหรือไม่มีเลย เช่น คอสตาริกา แต่ส่วนใหญ่ยังคงรักษากองทัพไว้เพื่อป้องปรามภัยคุกคาม
แม้การทูตหลายช่องทาง (Multi-track diplomacy) จะมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขความขัดแย้ง แต่ในหลายกรณียังมีการใช้กำลังทหารควบคู่หรือเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการทูตล้มเหลว เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือสถานการณ์ในตะวันออกกลาง
สถานการณ์ล่าสุด:
อิหร่านถล่มฐานทัพอเมริกัน
อิหร่านได้ยิงขีปนาวุธโจมตีฐานทัพอากาศ Al Udeid ในกาตาร์ ซึ่งเป็นฐานทัพสหรัฐฯ ที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง โดยประกาศว่าเป็นการตอบโต้หลังจากสหรัฐฯ โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ 3 แห่งในอิหร่านเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้ถือเป็นการยกระดับความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ และทำให้ความตึงเครียดในตะวันออกกลางพุ่งสูงสุดในรอบหลายปี
การโจมตีของอิหร่านต่อฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์ ทำให้ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-อิหร่าน และอิสราเอล-อิหร่าน มีแนวโน้มลุกลามเป็นสงครามภูมิภาค
ตลาดน้ำมันและพลังงานมีความเสี่ยงสูง หากอิหร่านเลือกปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงและกระทบเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทย.
การปิดน่านฟ้าและการเดินทางในตะวันออกกลางหยุดชะงัก ส่งผลต่อธุรกิจการบินและโลจิสติกส์
ความพยายามทางการทูตเพื่อแก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่านถูกกระทบอย่างหนัก หลายฝ่ายกังวลว่าการเผชิญหน้าทางทหารจะทำให้การเจรจาล่มสลาย
ทำไม อิหร่านกล้าถล่มฐานทัพอเมริกัน อิหร่านมีอะไรดี?
อิหร่านกล้าถล่มฐานทัพอเมริกันเพราะมีจุดแข็งและปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์หลายประการที่ทำให้อิหร่านมั่นใจในการเผชิญหน้ากับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ดังนี้
จุดแข็งและปัจจัยที่ทำให้อิหร่านกล้าเผชิญหน้า
1. กองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม (IRGC) ที่แข็งแกร่ง
• IRGC เป็นองค์กรทหารที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอิหร่าน
2. ศักยภาพด้านขีปนาวุธและอาวุธไฮเทค
• อิหร่านพัฒนาเทคโนโลยีขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก เช่น “ฟาตาห์” ที่สามารถเจาะระบบป้องกันขั้นสูงของสหรัฐฯ และอิสราเอลได้
• ขีปนาวุธของอิหร่านสามารถโจมตีเป้าหมายระยะไกลในภูมิภาคได้อย่างแม่นยำ ทำให้มีอำนาจต่อรองสูง
3. กำลังพลจำนวนมากและเครือข่ายพันธมิตร
• อิหร่านมีกำลังพลประจำการและสำรองรวมกันมากกว่า 1.5 ล้านนาย
• มีเครือข่ายพันธมิตรและกลุ่มติดอาวุธในภูมิภาค เช่น ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ฮูตีในเยเมน และกลุ่มในอิรักและซีเรีย ซึ่งพร้อมสนับสนุนปฏิบัติการตอบโต้สหรัฐฯ
4. ความเป็นรัฐอำนาจนำภูมิภาค
• อิหร่านมีบทบาทสำคัญในภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลาง โดยเฉพาะในด้านพลังงาน (น้ำมันและก๊าซธรรมชาติสำรองขนาดใหญ่)
• อิหร่านใช้จุดแข็งนี้เป็นเครื่องมือในการต่อรองกับชาติตะวันตกและควบคุมเสถียรภาพราคาน้ำมันโลก
5. ประสบการณ์เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ มายาวนาน
• อิหร่านมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับสหรัฐฯ และพันธมิตรมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทั้งในรูปแบบสงครามตัวแทน (proxy war) การคว่ำบาตร และการโจมตีทางไซเบอร์
6. การตอบโต้เพื่อสร้างสมดุลเชิงยุทธศาสตร์
• ผู้นำอิหร่านประกาศชัดว่าจะไม่ยอมให้มีการโจมตีต่อดินแดนหรือโครงการสำคัญของชาติ โดยไม่ตอบโต้ การโจมตีฐานทัพอเมริกันจึงเป็นการส่งสัญญาณเชิงยุทธศาสตร์ว่าพร้อมจะยกระดับความขัดแย้งหากถูกคุกคาม
ความแตกต่างของแสนยานุภาพทางทหารของอิหร่านต่อสหรัฐมากขนาดไหน อะไรทำให้อิหร่านไม่กลัวสหรัฐ?
อิหร่านมีแสนยานุภาพทางทหารที่ด้อยกว่าสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญในเชิงปริมาณและคุณภาพ แต่ปัจจัยเชิงยุทธศาสตร์หลายประการทำให้อิหร่านไม่เกรงกลัวการเผชิญหน้า ดังนี้
ปัจจัยที่ทำให้อิหร่านไม่เกรงกลัว
1. ยุทธศาสตร์แบบไม่สมมาตร
• ใช้เครือข่ายกลุ่มติดอาวุธพร็อกซี เช่น ฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน และกองกำลังฮูตีในเยเมน โจมตีเป้าหมายสหรัฐฯ โดยอ้อม
• พัฒนาอาวุธราคาถูกแต่ประสิทธิภาพสูง เช่น โดรนกามิคาเซะ และขีปนาวุธล่อเรดาร์
2. การสนับสนุนจากมหาอำนาจ
• รัสเซียและจีน ให้การสนับสนุนทางเทคนิคและการเมือง สร้างสมดุลอำนาจในตะวันออกกลาง
• ความร่วมมือสามฝ่าย (รัสเซีย-จีน-อิหร่าน) เป็นเสาหลักยุทธศาสตร์: “ใครล้ม ที่เหลือแย่!”
3. ภูมิรัฐศาสตร์พลังงาน
• อิหร่านควบคุม ช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน 30% ของโลก ทำให้มีอำนาจกดดันเศรษฐกิจโลก
4. แรงสนับสนุนภายในประเทศ
• การเผชิญหน้าสหรัฐฯ สร้างความชอบธรรมให้รัฐบาล ประชาชนร่วมสนับสนุนการปกป้องอธิปไตย
5. ประสบการณ์การเผชิญหน้ามายาวนาน
• อิหร่านรับมือการคว่ำบาตรและภัยคุกคามจากสหรัฐฯ มากว่า 4 ทศวรรษ พัฒนากลยุทธ์รับมืออย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
แม้อิหร่านจะมีความได้เปรียบเชิงปริมาณเพียง 3% ของสหรัฐฯ ในด้านกำลังพลและยุทโธปกรณ์ แต่การผสมผสานยุทธศาสตร์ไม่สมมาตร การสนับสนุนจากพันธมิตร และการควบคุมทรัพยากรเชิงยุทธศาสตร์ ทำให้อิหร่านสามารถสร้างความเสี่ยงที่สหรัฐฯ ไม่สามารถเพิกเฉยได้ การตอบโต้ใดๆ ของอิหร่านจึงมุ่งสร้าง “ต้นทุนทางการเมืองและเศรษฐกิจ” แก่สหรัฐฯ มากกว่าชัยชนะทางทหารโดยตรง
สถานการณ์ความตึงเครียดในตะวันออกกลางในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับสูงมาก โดยเฉพาะหลังการโจมตีของสหรัฐฯ ต่อฐานนิวเคลียร์อิหร่าน และการตอบโต้ของอิหร่านด้วยการยิงขีปนาวุธใส่ฐานทัพสหรัฐฯ ในกาตาร์
สถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของเศรษฐกิจไทยผ่านหลายช่องทาง โดยเฉพาะด้านราคาพลังงาน การค้าระหว่างประเทศ การท่องเที่ยว และความผันผวนทางการเมือง
ทำไม… ประเทศไทย “ยังต้องใช้ทหาร”
โดยเฉพาะกับปัญหา… ที่ดูเหมือนควรใช้การทูต
อย่าง “ข้อพิพาทชายแดนไทย–กัมพูชา”
หลายคนถามว่า…
ยุคนี้แล้ว ยังจะส่งทหารไปทำไม?
…มันไม่ใช่ยุคสงครามแล้วไม่ใช่หรือ?
ข้อพิพาทไทย–กัมพูชา… ไม่ได้เพิ่งเกิดวันนี้
แต่ลากยาวมาหลายสิบปี
เริ่มจาก “แผนที่คนละฉบับ”
ไทยยึดแผนที่มาตรฐาน 1:50,000
แต่เขมรยืนยันใช้แผนที่ 1:200,000 ที่จัดทำสมัยฝรั่งเศส…
หลายพื้นที่สำคัญ เช่น
ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย และสามเหลี่ยมมรกต
คือพื้นที่ซึ่งทับซ้อนกันตามแผนที่สองชุดนี้
…และนั่นทำให้เกิดการอ้างสิทธิ์ซ้อนกัน
แม้ทั้งสองฝ่ายจะมี MOU และข้อตกลงระหว่างประเทศ
แต่ในความจริง… ยังมีการล้ำแดนซ้ำซาก
คำถามคือ…การทหารมีความจำเป็นอย่างไร
เมื่อเจรจาไม่คืบ…
เมื่อมีการบุกรุก…
เราจะทำยังไง?
คำตอบคือ…
ต้องใช้ “กองทัพ” เพื่อ “ยับยั้ง” และ “กดดันกลับ”
เพราะถ้าเราไม่ส่งทหารไปประจำการ
ฝ่ายตรงข้ามอาจ “ได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์”
…ยึดพื้นที่เงียบ ๆ แล้วอ้างเป็นของตน
…หรือใช้ “ภาพลักษณ์เชิงสื่อ” สร้างความชอบธรรมปลอม ๆ
แล้วลากเรื่องขึ้นศาลโลก
ลองนึกภาพดู…
ถ้าทหารไทย “ไม่ประจำพื้นที่ชายแดน”
ถ้าไม่มีแนวหน้าเฝ้าไว้
แล้วอยู่ ๆ มี “แผงเหล็ก–ป้ายเขตแดน–ทหารต่างชาติ”
มาตั้งในเขตแดนไทย
…เราจะทำอะไรได้?
และถ้าเรานิ่งเฉย
ฝ่ายตรงข้ามก็จะบอกว่า “ไทยยอมรับแล้ว”
ซึ่งอาจเป็น “จุดเริ่มต้นของการเสียดินแดน” อย่างถาวร
ย้อนไปที่คำพูดของพิธาเรื่อง “ทหารไม่จำเป็นถ้าผู้นำฉลาดพอ” นั้นสะท้อนวิสัยทัศน์ที่ “อันตราย”
• พิธากำลัง ยกโมเดลโลกสวยจากบางประเทศ (เช่น คอสตาริกา, ไอซ์แลนด์) มาใช้กับประเทศไทย ซึ่งมีบริบท ต่างกันโดยสิ้นเชิง
• ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังมี “ข้อพิพาทชายแดน, ความไม่แน่นอนทางอำนาจ, และกลุ่มผลประโยชน์แทรกซ้อน” เช่น กัมพูชา เมียนมา หรือแม้แต่จีนในทะเลจีนใต้
• คำพูดว่า “จะไปรบกับใคร” เป็นการมองข้ามแนวคิดพื้นฐานของ “ศักยภาพในการยับยั้ง” (Deterrence) ซึ่งเป็นหัวใจของความมั่นคง
• ไม่ใช่ว่าเราต้องรบ แต่เราต้อง “พร้อมรบเพื่อไม่ให้เกิดการรบ”
• นี่คือหลักที่ทั้ง NATO, ASEAN, ญี่ปุ่น และไต้หวันเข้าใจดี
ในมุมยุทธศาสตร์ นี่คือการ ลดทอนขีดความสามารถการป้องปรามของชาติ (Strategic Deterrence)
ในทางการเมือง คือการ “สร้างภาพ” ว่าตนเองเป็นผู้นำสายสันติภาพ ทั้งที่แท้จริงอาจเป็น “การสื่อสารหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง” (deceptive narrative)
คำพูดทหารมีไว้ทำไมเป็นการการด้อยค่าทหาร ซึ่งเป็นเกมการเมืองของเค้าและพรรคก้าวไกล
ซึ่งถือว่าเป็นเกมที่อันตราย
• พิธาและพรรคก้าวไกลใช้ “วาทกรรมล้มทหาร” เพื่อชิงพื้นที่จากกลุ่มเยาวชนและเสรีนิยม
แต่เบื้องหลังคือการ ลดทอนกลไกสำคัญของรัฐไทยในการป้องกันอธิปไตย
• พูดถึงทหารในเชิงลบทุกครั้ง แม้ในบริบทที่ “ทหารกำลังทำหน้าที่ปกป้องชายแดน” เช่น กรณีปราสาทตาควาย ตาเมือนธม สามเหลี่ยมมรกต
• พยายามเปลี่ยนความคิดของสาธารณชนให้เห็นว่า “การมีกองทัพคือความล้าหลัง” ทั้งที่ในความเป็นจริง:
• ทุกประเทศล้วนมีกองทัพเพื่อป้องกันตนเอง
• แม้แต่ประเทศที่ดูเสรีอย่างเยอรมนี ยังเพิ่มงบกองทัพหลังรัสเซียบุกยูเครน
ประชาชนควรตั้งคำถามกลับว่า:
ถ้าคุณเชื่อว่าไม่ควรมีกองทัพ…
แล้วใครจะหยุดศัตรูที่ล้ำแดน? ใครจะปกป้องเกียรติภูมิของชาติ?
หรือคุณกำลังหวังว่า “คนอื่นจะปกป้องเราแทน