
นิติสงคราม? หรือ การถ่วงดุลอำนาจรัฐบาลของตุลาการตามรัฐธรรมนูญ
แพทองธาร ทำผิดจริงหรือถูกนิติสงครามกลั่นแกล้งทางการเมืองและศาลตัดสินให้ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ได้หรือไม่?
#อัษฎางค์ยมนาค #อ่านเกมอำนาจ
นายจรัญ ภักดีธนากุล อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ให้สัมภาษณ์กับท็อปนิวส์” เมื่อ 25 มิถุนายน 2568 สรุปใจความว่า
“ผู้นำรัฐบาลจะอ่อนแอถึงขั้นตกเป็นลูกไล่ของฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ เพราะนั่นคืออันตรายต่อเกียรติภูมิของชาติ ภาพลักษณ์ในเวทีโลก และอำนาจอธิปไตยของแผ่นดินไทย”
การแสดงความอ่อนน้อมในลักษณะคล้าย “วิงวอนส่วนตัว” ต่อผู้นำของรัฐคู่พิพาท อาจถูกตีความว่า บั่นทอนศักดิ์ศรีของรัฐไทย
“หัวหน้ารัฐบาลไม่ควรตกอยู่ในสถานะ ‘ลูกไล่’ ของฝ่ายตรงข้ามในความขัดแย้งระหว่างประเทศ”
คำพูดนี้เท่ากับส่งสัญญาณว่า ความไร้น้ำหนักของผู้นำในการเจรจาระหว่างประเทศ อาจเข้าข่าย การกระทำที่บั่นทอนอำนาจอธิปไตย
นายจรัญเห็นว่า ศาลรัฐธรรมนูญ อาจมีเหตุอันควรสงสัยเพียงพอ ที่จะสั่ง “หยุดปฏิบัติหน้าที่” ของนายกรัฐมนตรีไว้ชั่วคราวเพื่อรอวินิจฉัย
แม้นายจรัญจะหลีกเลี่ยงการโจมตีทางการเมืองโดยตรง
แต่คำให้สัมภาษณ์นี้สะท้อนว่า ผู้มีประสบการณ์ในตุลาการรัฐธรรมนูญ มองว่าคดีนี้มี “น้ำหนักเพียงพอ” ให้ศาลสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างชอบธรรม
แสดงให้เห็นว่าแม้เขาจะไม่ตัดสินแทนศาล แต่ก็ ส่งสารทางอารมณ์–จริยธรรม–อธิปไตย ที่หนักแน่นที่สุดคนหนึ่งในรอบเหตุการณ์นี้
“การยื่นคำร้องผ่านกลไกศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ จะถือเป็น ‘นิติสงคราม’ หรือการกลั่นแกล้งทางการเมืองได้จริงหรือ?”
“นิติสงคราม” (Lawfare) หมายถึง การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือทำลายศัตรูทางการเมืองโดยไม่มีมูลความผิด
→ แต่ในกรณีนี้ มีพฤติการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริงปรากฏต่อสาธารณะ ได้แก่:
• คลิปเสียงที่นายกฯไทยสื่อสารกับผู้นำต่างประเทศ โดยมีภาษาที่เข้าข่าย “อ่อนน้อมเกินสมควร” ในสถานการณ์ที่ไทยกำลังมีข้อพิพาทเขตแดน
• การใช้ “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” ในการต่อรองกับผู้นำรัฐคู่พิพาท
• ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเกียรติภูมิของชาติและเสถียรภาพเชิงสัญลักษณ์ของผู้นำประเทศ
ทั้งหมดนี้คือ “พฤติการณ์ที่ตรวจสอบได้” ไม่ใช่การสร้างเรื่องเท็จเพื่อกลั่นแกล้ง
สรุป: หากสิ่งที่เกิดขึ้นมี “เหตุอันควรสงสัย” อย่างที่อดีตตุลาการรัฐธรรมนูญยังยอมรับ ศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีอำนาจพิจารณา
คำว่า “นิติสงคราม” มักถูกบิดเบือน เพื่อบังหน้าความผิด
ถ้าอ้างว่า “เป็นการกลั่นแกล้ง” เพื่อหลบหลีกการตรวจสอบ → เท่ากับทำลายหลัก Rule of Law
การที่นักการเมืองหรือรัฐบาลอ้างว่า “ถูกเล่นงานทางการเมือง” ทุกครั้งที่มีการยื่นตรวจสอบ คือการลดทอนความชอบธรรมของกระบวนการตรวจสอบตามกฎหมาย
ถ้านักการเมืองทำผิดแต่ “ห้ามตรวจสอบ” เพราะกลัวถูกมองว่าถูกกลั่นแกล้ง
เท่ากับเปิดทางให้ผู้นำคนใดก็ได้ “อยู่เหนือกฎหมาย” เพียงเพราะอ้างว่าโดนเล่นงานทางการเมือง
สรุปเชิงหลักการ:
• การยื่นคำร้องของสมาชิกวุฒิสภาในกรณีนี้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย
• ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจและดุลพินิจที่จะรับหรือไม่รับคำร้อง รวมถึงสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่หากเห็นว่ามีเหตุอันควรสงสัย
• กรณีคลิปเสียงนายกรัฐมนตรีอาจมีเหตุอันควรสงสัยให้ศาลสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ได้ หากเห็นว่ามีพฤติการณ์ที่กระทบต่อเกียรติภูมิและอธิปไตยของประเทศ
• กระบวนการนี้เป็นการใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจในระบบประชาธิปไตย แต่ก็อาจมีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและภาพลักษณ์ของประเทศ
• การยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญ คือกระบวนการในรัฐนิติธรรม
• จะเรียกว่ากลั่นแกล้งหรือ “นิติสงคราม” ได้ ก็ต่อเมื่อไม่มีพฤติการณ์ / ไม่มีข้อเท็จจริง / ไม่มีเหตุอันควรสงสัย
• ในกรณีนี้ มีคลิปเสียงจริง มีข้อสงสัยจริง และมีผลกระทบต่ออธิปไตยจริง
ถ้าผู้นำไม่เคารพหลักการ การตรวจสอบคือหน้าที่
ถ้าศาลปฏิเสธแม้มีพฤติการณ์ Rule of Law จะกลายเป็น Rule of Excuse
บทส่งท้าย: ถ่วงดุลอำนาจ ไม่ใช่เล่นงานทางการเมือง
การถ่วงดุลอำนาจของตุลาการตามรัฐธรรมนูญ
คือกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ที่ออกแบบมาเพื่อ ตรวจสอบและจำกัดอำนาจของรัฐบาล ไม่ให้ล้ำเส้นกฎหมายหรือกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ
ศาลรัฐธรรมนูญไม่ใช่ “คู่ขัดแย้งทางการเมือง”
แต่เป็น “ผู้รักษากรอบกติกา” ที่ประชาชนมอบอำนาจไว้ให้ทำหน้าที่ปกป้องหลักนิติธรรม
การที่ศาลเข้ามาตรวจสอบผู้นำประเทศจึง ไม่ใช่การกลั่นแกล้งหรือทำสงครามด้วยกฎหมาย (Lawfare) หากแต่เป็นการทำหน้าที่ ถ่วงดุลอำนาจบริหาร ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ในสังคมประชาธิปไตย
ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย แม้แต่ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในฝ่ายบริหาร