
The Lucifer Effect
“ระบบที่สร้างปีศาจ”: บทเรียนจากรัฐและขบวนการสามนิ้ว
โดย อัษฎางค์ ยมนาค
_______________________________________________
ในสังคมที่ขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงขึ้นทุกขณะ คำถามสำคัญที่ควรถามไม่ใช่เพียงแค่ “ใครผิด?” แต่คือ “โครงสร้างแบบใดที่เปิดโอกาสให้ความผิดบังเกิด?”
แนวคิดนี้ได้รับการอธิบายอย่างลึกซึ้งในงานวิจัยของ Philip Zimbardo เจ้าของทฤษฎี The Lucifer Effect ผู้เสนอว่า คนธรรมดาสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้หากอยู่ในโครงสร้างที่สนับสนุน
และถ้าเราไม่เปลี่ยนโครงสร้างนั้น ไม่ว่าจะแก้ไขโดยเปลี่ยนตัวบุคคลสักกี่ครั้ง ก็จะได้ผลลัพธ์เดิมวนซ้ำไม่สิ้นสุด
_______________________________________________
“การทดลองคุกสแตนฟอร์ด (Stanford Prison Experiment)” ซึ่งเป็นหนึ่งในงานวิจัยด้านจิตวิทยาสังคมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในศตวรรษที่ 20 ดำเนินการโดย Philip Zimbardo ในปี 1971 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาว่า “บทบาททางสังคมและสภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคนได้อย่างไร”
สรุปสาระสำคัญ:
• อาสาสมัครชาย 24 คน ถูกแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้คุม (guards) และ นักโทษ (prisoners) ภายใน “เรือนจำจำลอง” ในห้องใต้ดินของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
• ผู้คุมมีอำนาจควบคุม และนักโทษต้องทำตามคำสั่งทุกอย่าง
• แม้จะเป็นการจำลอง แต่ผู้คุมบางคนเริ่มมีพฤติกรรมโหดร้าย ใช้อำนาจในทางที่ผิด และนักโทษเริ่มมีภาวะเครียด ซึมเศร้า ต่อต้าน
• การทดลองต้อง หยุดก่อนกำหนดในวันที่ 6 จากที่ตั้งใจไว้ 2 สัปดาห์ เพราะสถานการณ์เริ่มบานปลายจนเป็นอันตราย
ข้อสรุปหลักในหนังสือ The Lucifer Effect:
Zimbardo ใช้การทดลองนี้เพื่ออธิบายว่า “คนธรรมดา” ก็สามารถทำ “สิ่งชั่วร้าย” ได้ หากอยู่ในโครงสร้างอำนาจที่เหมาะสมและได้รับการสนับสนุนจากระบบ เขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า “The Lucifer Effect” หรือ “ผลลูซิเฟอร์” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า สถานการณ์มีอำนาจเหนือบุคลิกภาพส่วนตัว
ประเด็นเชิงปรัชญาและสังคมที่น่าสนใจ:
• ระหว่าง *“คนดี” กับ “ระบบเลว” อะไรมีอิทธิพลมากกว่ากัน?
• การสร้าง “ระบบที่ดี” จึงสำคัญไม่แพ้การเลือก “คนดี”
_______________________________________________
The Lucifer Effect กับสถานการณ์ “รัฐและขบวนการสามนิ้ว” ในสังคมไทย
1. ใจความสำคัญของ The Lucifer Effect
โดย ดร.ฟิลิป ซิมบาร์โด (Philip Zimbardo)
สาระหลัก
• The Lucifer Effect อธิบายว่า ไม่มีใคร “ชั่ว” โดยกำเนิด แต่สภาพแวดล้อม อำนาจ และบทบาทที่ได้รับสามารถ “เปลี่ยนคนธรรมดาให้กลายเป็นปีศาจ” ได้
• ใช้ การทดลองคุกสแตนฟอร์ด เป็นหลักฐานชี้ว่า ระบบที่เลวร้ายสามารถเปลี่ยนจิตใจของคนดีให้เลวได้
• เปรียบเทียบกับกรณีในชีวิตจริง เช่น การทรมานนักโทษในเรือนจำอาบูเกร็บ โดยทหารอเมริกัน
• เสนอแนวคิดเรื่อง “Situational Evil” (ความชั่วจากสถานการณ์) และ “Systemic Evil” (ความชั่วจากโครงสร้างระบบ)
2. แนวคิดเชิงจิตวิทยาและสังคม
2.1 บทบาททางสังคม (Social Role)
• เมื่อคนได้รับบทบาท เช่น “ผู้คุม” หรือ “เจ้าหน้าที่รัฐ” พวกเขาอาจทำตามหน้าที่โดยไม่ตั้งคำถาม แม้จะผิดศีลธรรม
2.2 อำนาจ (Power)
• อำนาจเปลี่ยนพฤติกรรมคนได้
• คนที่ได้รับอำนาจมากขึ้น มีแนวโน้มใช้อำนาจอย่างไม่รู้ตัว และไม่รู้สึกผิด (dehumanization)
2.3 การยอมจำนนต่ออำนาจ (Obedience to Authority)
• คล้ายกับผลจากการทดลอง Milgram ที่คนยอมทำร้ายผู้อื่นเพราะมี “ผู้มีอำนาจ” สั่ง
2.4 การลดทอนความเป็นมนุษย์ (Deindividuation)
• เมื่อคนอยู่ในกลุ่ม หรือในเครื่องแบบ พวกเขาอาจลดความรับผิดชอบและ “ลืมตัวตน”
• ทำให้กล้าทำสิ่งที่ปกติไม่กล้าทำ เช่น การใช้ความรุนแรงหรือความอยุติธรรม
3. การเชื่อมโยงกับสังคมไทยและโลกปัจจุบัน
3.1 วัฒนธรรมอำนาจนิยม (Authoritarian Culture)
• ในหลายประเทศรวมถึงไทย การปลูกฝังให้เคารพผู้มีอำนาจโดยไม่ตั้งคำถาม อาจทำให้ประชาชนหรือเจ้าหน้าที่รัฐ “ทำตามคำสั่ง” โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม
3.2 ความรุนแรงในเรือนจำ สถานศึกษา และองค์กร
• การซ้อมในค่ายทหาร การรับน้องรุนแรง หรือการใช้อำนาจกดขี่ในหน่วยงานราชการ
• มักมีคน “ดี” ที่เมื่อรับบทบาท ก็กลายเป็นผู้กระทำการรุนแรงได้
3.3 สื่อและโซเชียลมีเดีย
• เมื่อคนไม่ต้องแสดงตัวตน (anonymity) พวกเขาอาจกล้ากลั่นแกล้ง พูดจารุนแรง
• เป็นรูปแบบหนึ่งของ deindividuation ที่ Zimbardo พูดถึง
3.4 การต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงระบบ
• หากไม่เข้าใจว่า “ระบบสร้างปีศาจ” ได้ คนอาจไปโทษเฉพาะ “บุคคล”
• ในทางกลับกัน เราต้องเปลี่ยนทั้ง “โครงสร้างอำนาจ” และ “วัฒนธรรมสังคม” ไปพร้อมกัน
_______________________________________________
สื่อและโซเชียลมีเดีย
การไม่ต้องแสดงตัวตน (anonymity) เป็นรูปแบบหนึ่งของ deindividuation ของ Zimbardo
Zimbardo อธิบายแนวคิด Deindividuation ว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้บุคคล “สูญเสียความรู้สึกถึงตัวตนส่วนบุคคล (self-awareness)” และ “ลดการควบคุมตนเองทางศีลธรรม” เมื่ออยู่ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น ในกลุ่มใหญ่ ใส่เครื่องแบบ หรืออยู่ภายใต้คำสั่งของผู้นำ
Deindividuation คืออะไร?
คือภาวะที่บุคคล:
• ไม่รู้สึกถึงตัวตนของตนเอง (loss of identity)
• ไม่รู้สึกว่าการกระทำของตนมีผลเฉพาะตน
• รู้สึกว่า “ฉันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกลุ่ม” ไม่ต้องรับผิดชอบส่วนตัว
• ลดการยั้งคิดทางศีลธรรม
• กล้าทำสิ่งที่ “ตัวเองในภาวะปกติ” จะไม่ทำ เช่น ความรุนแรง การกลั่นแกล้ง
Zimbardo ใช้แนวคิดนี้กับการทดลองคุกสแตนฟอร์ดอย่างไร?
• กลุ่ม “ผู้คุม” สวมเครื่องแบบและใส่แว่นกันแดด ทำให้ลดตัวตนส่วนบุคคล (anonymity)
• กลุ่ม “นักโทษ” ถูกเรียกด้วยหมายเลข แทนชื่อจริง → สูญเสียอัตลักษณ์
• ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในระบบที่สนับสนุนบทบาท ทำให้เกิดพฤติกรรมสุดโต่งและรุนแรง
• ผู้คุมบางคนถึงกับ “ทรมาน” นักโทษทั้งที่โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนธรรมดา
ตัวอย่างในโลกจริงที่ใช้แนวคิด Deindividuation ได้:
• ม็อบที่กลายเป็นความรุนแรงเมื่อทุกคน “ละตัวตน” ไปอยู่กับฝูงชน
• การกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ (cyberbullying) โดยใช้ตัวตนปลอมหรือไม่เปิดเผยชื่อ
• การทรมานนักโทษที่อาบูเกร็บ (Abu Ghraib) ซึ่งทหารอเมริกัน “ลืม” ตัวเองว่าเป็นมนุษย์และมีศีลธรรม
ข้อเสนอของ Zimbardo ต่อสังคม
• หากไม่ต้องการให้คนธรรมดากลายเป็นผู้กระทำสิ่งเลวร้าย ต้องออกแบบ “ระบบ” ให้เปิดเผยตัวตน ส่งเสริมความรับผิดชอบส่วนบุคคล
• ลดการทำให้ผู้คน “ซ่อนตัว” หรือ “ละตัวตน” เช่น ผ่านเครื่องแบบที่ลดมนุษยธรรม
• ส่งเสริมให้คนตั้งคำถามต่ออำนาจ มากกว่าทำตามโดยไม่คิด
_______________________________________________
ใช้แนวคิด Deindividuation ตาม Zimbardo วิเคราะห์เหตุการณ์ในไทย เช่น ขบวนการของกลุ่มคนสามนิ้ว
“กลุ่มสามนิ้ว” ในบริบทการเมืองไทยหมายถึง ขบวนการเคลื่อนไหวของเยาวชนและประชาชนรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นราวปี 2563 โดยใช้ สัญลักษณ์ชูสามนิ้ว (ที่มาจากหนัง The Hunger Games) เพื่อแสดงออกถึง
1. การเรียกร้องประชาธิปไตย
2. การต่อต้านเผด็จการ
3. การตั้งคำถามต่อสถาบันหลักของประเทศ
กลุ่มนี้มีลักษณะสำคัญคือ:
• ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ นักเรียน นักศึกษา และนักกิจกรรม
• ใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือหลัก
• มีพลังมวลชนจำนวนมาก และเกิดขึ้นในหลายจังหวัดพร้อมกัน
วิเคราะห์ด้วยแนวคิด Deindividuation ตาม Zimbardo
แม้กลุ่มสามนิ้วจะมี เป้าหมายในทางอุดมคติและสิทธิเสรีภาพ แต่ก็มีหลายครั้งที่เกิด พฤติกรรมรุนแรงทางวาจา ความเกลียดชัง หรือการรุมประณามคนเห็นต่าง ซึ่งสามารถวิเคราะห์ด้วยทฤษฎีนี้ได้
1. การลดอัตลักษณ์ส่วนบุคคล (Loss of Individual Identity)
• ผู้เข้าร่วมจำนวนมากใช้ชื่อปลอม / บัญชีแฝง (anonymity) บนโซเชียล
• ไม่ต้องรับผิดชอบส่วนตัวต่อคำพูดหรือการโจมตีคนอื่น
→ นำไปสู่การกล้าพูด กล้าด่า โดยไม่รู้สึกผิด
2. การละตัวตนในมวลชน (Crowd Behavior)
• เมื่ออยู่ในม็อบที่คนจำนวนมากชูสามนิ้วและตะโกนคำขวัญร่วมกัน
• ผู้คนรู้สึกว่าตัวเองเป็น “ส่วนหนึ่งของขบวนการ” มากกว่าการเป็น “ปัจเจกบุคคลที่ต้องยั้งคิด”
→ อาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่รุนแรงกว่าปกติ เช่น ขว้างปาสิ่งของ ด่าทอเจ้าหน้าที่ ฯลฯ
3. ความเป็น “ผู้คุมเชิงศีลธรรม” (Moral Superiority)
• บางคนในขบวนการอาจรู้สึกว่า “ฉันอยู่ฝ่ายถูก ฝ่ายประชาธิปไตย”
→ ทำให้มีแนวโน้มจะใช้ hate speech กับฝ่ายตรงข้าม โดยคิดว่า “เพื่อความถูกต้อง ฉันทำได้”
ข้อสังเกตจากแนวคิดของ Zimbardo
• แม้เจตนาจะดี แต่เมื่อระบบ/ฝูงชน/การปลดปล่อยตัวตนทำให้ขาดการควบคุมทางศีลธรรม → อาจกลายเป็น “ความรุนแรงในนามของเสรีภาพ”
• เหมือนกับผู้คุมในเรือนจำสแตนฟอร์ด ที่ไม่ได้ “เลวโดยเนื้อแท้” แต่ระบบและบทบาท เปิดช่อง ให้พฤติกรรมเลวปรากฏ
สรุป:
“สามนิ้วเป็นขบวนการที่สะท้อนการลุกขึ้นของคนรุ่นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อปัจเจกบุคคลหลอมรวมตัวเองเข้าเป็นมวลชนโดยไม่ตระหนักรู้ถึงอัตลักษณ์และศีลธรรมของตนเอง ก็สามารถนำไปสู่พฤติกรรมสุดโต่งได้ แม้จะมีเจตนาเพื่อความยุติธรรมก็ตาม”
_______________________________________________
จากกรณีที่ ขบวนการสามนิ้ว แสดงพฤติกรรมบางอย่างที่อธิบายได้ด้วยแนวคิด Deindividuation ของ Zimbardo ซึ่งอาจนำไปสู่การ ลดทอนความรับผิดชอบส่วนบุคคล การใช้ hate speech หรือพฤติกรรมรุนแรงในนามอุดมการณ์ เราสามารถเสนอแนวทางการ ป้องกันและแก้ไข ได้ใน 3 ระดับ ได้แก่
1. ระดับปัจเจก (Individual Level): สร้างสำนึกต่อความรับผิดชอบของตนเอง
• ปลูกฝัง Critical Thinking: ไม่ให้ทำตามมวลชนโดยไม่คิด
• ส่งเสริมการแสดงตัวตนที่แท้จริง: ใช้ชื่อจริงหรือภาพจริงบนโลกออนไลน์เมื่อแสดงความเห็นสาธารณะ เพื่อเสริมความรับผิดชอบ
• ฝึกให้แยกแยะระหว่าง “การวิพากษ์วิจารณ์” กับ “การใช้วาจาเกลียดชัง”
• ให้เยาวชนเข้าใจสิทธิ-หน้าที่ควบคู่กัน: เสรีภาพต้องมาพร้อมความรับผิดชอบ
2. ระดับกลุ่มและขบวนการ (Group Level): สร้างวัฒนธรรมภายในกลุ่ม
• มีแนวทางจริยธรรมในการเคลื่อนไหว: เช่น แนวปฏิบัติเพื่อไม่ด่าทอผู้อื่น ไม่ใช้ความรุนแรง
• มีผู้นำทางคุณธรรม (Moral Leaders) ที่ไม่เพียงปลุกพลังมวลชน แต่ควบคุมทิศทางให้ไม่สุดโต่ง
• ส่งเสริม “พื้นที่ปลอดภัย” ให้คนเห็นต่างในกลุ่มได้แสดงความเห็น
• ใช้กลไกการสะท้อนตนเองในกลุ่ม เช่น การวิพากษ์วิจารณ์ภายในอย่างสร้างสรรค์เมื่อมีพฤติกรรมที่พลาด
3. ระดับโครงสร้างสังคม (Systemic Level): สร้างระบบที่ไม่ผลักคนให้สุดโต่ง
• รัฐต้องไม่ปราบปรามด้วยความรุนแรง เพราะจะยิ่งผลักคนให้ radical มากขึ้น (คล้ายกับที่ Zimbardo เรียกว่า “Systemic Evil”)
• เปิดพื้นที่พูดคุยโดยไม่ตีตรา คนที่ตั้งคำถามกับอำนาจ ไม่ให้พวกเขารู้สึกว่าต้อง “ซ่อนตัว” หรือ “ใช้นิรนาม”
• ให้การศึกษาแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยในเชิงลึก เพื่อให้เยาวชนเข้าใจโครงสร้างอำนาจและวิธีเปลี่ยนแปลงโดยไม่ต้องทำลายระบบ
• พัฒนาหลักสูตรพลเมือง (Civic Education) ให้เข้มแข็งในทุกระดับการศึกษา
ข้อเสนอจากมุมมอง Zimbardo
“อย่าถามแค่ว่า ใครทำผิด แต่ต้องถามว่า โครงสร้างแบบใดที่เปิดโอกาสให้ความผิดเกิดขึ้น แล้วแก้ที่ตรงนั้น”
_______________________________________________
ขยายความ ข้อเสนอจากมุมมอง Zimbardo
แนวคิดของ Philip Zimbardo ที่ว่า
“อย่าถามแค่ว่า ใครทำผิด แต่ต้องถามว่า โครงสร้างแบบใดที่เปิดโอกาสให้ความผิดเกิดขึ้น แล้วแก้ที่ตรงนั้น”
เป็นหัวใจสำคัญของหนังสือ The Lucifer Effect และเป็นการชี้ให้เราเปลี่ยนมุมมองจากการ “โทษปัจเจกบุคคล” ไปสู่การ “วิพากษ์โครงสร้างที่เอื้อให้เกิดความชั่วร้าย”
1. แทนที่จะโทษแต่ “ตัวบุคคล” ให้หันไปมอง “ระบบ” ที่เขาอยู่ในนั้น
Zimbardo พบว่า คนธรรมดาก็สามารถทำสิ่งเลวร้ายได้ ไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนชั่วโดยสันดาน
แต่เพราะเขาอยู่ใน ระบบที่ทำให้เขากลายเป็นแบบนั้น
ตัวอย่าง:
• ในคุกสแตนฟอร์ด: นักศึกษาผู้คุมเริ่มทารุณผู้ต้องขัง เพราะระบบให้อำนาจเขาทำได้ และไม่มีการตรวจสอบ
• ที่อาบูเกร็บ: ทหารอเมริกันไม่ได้ถูกฝึกให้ทรมาน แต่ระบบเปิดช่องให้เกิดการลดทอนความเป็นมนุษย์ของนักโทษ
Zimbardo เรียกระบบแบบนี้ว่า “Systemic Evil”
→ ความชั่วที่เกิดจากโครงสร้าง กฎระเบียบ และวัฒนธรรมองค์กร
2. ทำไมการโฟกัสแต่ตัวบุคคลถึงไม่เพียงพอ
ถ้าเราถามแค่ว่า “ใครผิด?”
→ เราจะได้คำตอบแค่ระดับผิว เช่น “เขาใจร้าย” “เขาโหด” “เขาเลว”
→ แล้วเราก็เปลี่ยนตัวบุคคลหนึ่งออกไป แต่ระบบที่ทำให้พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นก็ยังอยู่
แต่ถ้าเราถามว่า “ทำไมพฤติกรรมเลวถึงเกิดซ้ำได้?”
→ เราจะพบว่า มันเป็นผลจากระบบที่ ให้รางวัลกับการใช้อำนาจเกินขอบเขต
→ หรือระบบที่ ไม่ลงโทษการละเมิดสิทธิคนอื่น
→ หรือระบบที่ สอนให้เชื่อฟังโดยไม่ตั้งคำถาม
3. วิธีแก้ตามแนวคิดของ Zimbardo: แก้ที่ระบบ ไม่ใช่แค่ไล่คนผิด
ในทางปฏิบัติ หมายถึงว่า:
• แทนที่จะจัดการกับคนที่ด่าทอหรือใช้ความรุนแรง → ควรดูว่า องค์กรส่งเสริมให้เขาทำแบบนั้นหรือเปล่า?
• แทนที่จะจับแค่ผู้ประท้วง → ควรดูว่า รัฐสร้างเงื่อนไขให้คนรู้สึกหมดหวังและต้องระเบิดออกหรือเปล่า?
• แทนที่จะด่าคนใน ขบวนการสามนิ้ว ว่า “ล้ำเส้น” → ควรดูว่า สังคมมีพื้นที่เพียงพอให้เขาสื่อสารอย่างสันติหรือยัง?
4. สรุป: ป้องกัน “ปีศาจ” ด้วยการเปลี่ยนระบบ
อย่าเสียเวลามองหา “ปีศาจในตัวคน” แต่จงจับตาดู “ระบบที่สร้างปีศาจ” แล้วเปลี่ยนแปลงมัน
เพราะถ้าระบบยังเหมือนเดิม ไม่ว่าจะเปลี่ยนตัวคนกี่คน ก็ยังได้ผลลัพธ์แบบเดิม
_______________________________________________
บทวิเคราะห์
“อย่าเสียเวลามองหา ปีศาจในตัวคน แต่จงจับตาดู ระบบที่สร้างปีศาจ แล้วเปลี่ยนแปลงมัน”
1. มุมของรัฐ
รัฐไทย มักตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของสามนิ้ว ด้วยการ จับกุม, ใช้กฎหมายพิเศษ, ปราบปราม, ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น และ ทำให้ผู้เคลื่อนไหวกลายเป็นศัตรูของชาติ
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า รัฐกำลัง มองว่าปัญหาอยู่ที่ตัวคน (เช่น เยาวชนก้าวร้าว, มีแนวคิดล้มล้าง, เป็นภัยความมั่นคง)
แต่หากใช้มุมมองของ Zimbardo จะพบว่า:
• ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเยาวชนเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่โครงสร้างอำนาจและระบบรัฐที่ไม่เปิดโอกาสให้ตั้งคำถาม
• ระบบที่ขาดพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นอย่างเสรี → ผลักคนให้แสดงออกในรูปแบบที่รุนแรงขึ้น
• ระบบที่ตอบโต้ด้วยการใช้กำลังและกฎหมาย → ยิ่งทำให้เกิด deindividuation คือ คนไม่รู้สึกว่าตนเองต้องรับผิดชอบ เพราะถูกทำให้เป็น “เหยื่อของความอยุติธรรม”
ดังนั้น การแก้ปัญหาในมุมรัฐ คือ:
• ปฏิรูปโครงสร้างรัฐ ให้โปร่งใส เปิดกว้างสำหรับการตั้งคำถามอย่างสันติ
• ลดการใช้กำลังและกฎหมายพิเศษ กับผู้เห็นต่าง เพราะจะยิ่งทำให้สถานการณ์สุดโต่ง
• เปลี่ยนแนวทางการสื่อสารของรัฐ จากการตีตรา → เป็นการรับฟังอย่างจริงใจ
2. มุมของกลุ่มสามนิ้ว
ขบวนการสามนิ้ว เริ่มต้นจากอุดมการณ์ที่ต้องการประชาธิปไตยเสรี แต่ในระยะหนึ่ง มีส่วนที่ เกิดการ radicalize คือ สุดโต่งมากขึ้น เช่น
• โจมตีสถาบันโดยไม่แยกแยะ
• ใช้ hate speech ต่อต้านฝ่ายตรงข้าม
• บางครั้งกลายเป็นความเกลียดชังเบ็ดเสร็จ (Total Hate)
หากวิเคราะห์ด้วย Zimbardo:
• ไม่ใช่เพราะเยาวชนเลวโดยตัวเอง แต่เพราะพวกเขาอยู่ใน โครงสร้างของความรู้สึกหมดหวัง (learned hopelessness)
• โครงสร้างสังคมที่กดทับ ไม่เปิดทางให้การเปลี่ยนแปลงสันติ จึงผลักคนธรรมดาให้กล้าใช้วิธีรุนแรงมากขึ้น
• ระบบโซเชียลมีเดียเองก็เป็น “สนาม Deindividuation” ที่ทำให้เกิด hate speech ง่ายขึ้น
ดังนั้น การแก้ปัญหาในมุมสามนิ้ว คือ:
• สร้างวัฒนธรรมการต่อสู้เชิงสร้างสรรค์ (Constructive Dissent) ไม่ใช่แค่ต่อต้านเพื่อทำลาย แต่เสนอทางออกที่จับต้องได้
• รักษาหลักศีลธรรมส่วนตัว แม้อยู่ท่ามกลางความโกรธ (Resist becoming what you oppose)
• ปฏิเสธวัฒนธรรมการรุมด่า รุมประณาม (Cancel Culture) ซึ่งทำลายพลังทางศีลธรรมของขบวนการเอง
ข้อคิดสุดท้ายจาก Zimbardo สำหรับทั้งสองฝ่ายคือ:
“การทำลายฝ่ายตรงข้าม ไม่ได้ทำให้โลกดีขึ้น การสร้างระบบที่ดีกว่าต่างหาก คือหนทางเปลี่ยนโลกอย่างแท้จริง”
_______________________________________________
บทสรุป: ปีศาจที่เราสร้างขึ้นเอง
Zimbardo สอนเราว่า
“ความเลวร้ายไม่ได้ซ่อนอยู่ลึกในใจคน แต่มันเจริญงอกงามในโครงสร้างที่เอื้อให้มันเติบโต”
ทั้งรัฐและขบวนการสามนิ้วต่างก็เสี่ยงที่จะสร้าง “ปีศาจ” ขึ้นจากโครงสร้างที่ไม่ถูกแก้ไข
การปฏิรูปบุคคลจึงไม่เพียงพอ ต้องปฏิรูป “ระบบ” ที่หล่อเลี้ยงปีศาจเหล่านั้น
มิฉะนั้น วัฏจักรแห่งความเกลียดชัง ความรุนแรง และการทำลาย จะไม่มีวันสิ้นสุด
ไม่ว่าฝ่ายใดจะได้อำนาจในวันข้างหน้าก็ตาม
_______________________________________________
อย่าเสียเวลามองหา “ปีศาจในตัวคน” แต่จงจับตาดู “ระบบที่สร้างปีศาจ”
1. คนธรรมดาอาจทำสิ่งเลวร้ายได้ หากโครงสร้างและสถานการณ์เอื้อ
• ปัญหามักไม่ได้อยู่ที่ “คนเลว” แต่เกิดจาก “ระบบที่เลว”
• ถ้าไม่แก้ระบบ ความผิดซ้ำจะเกิดใหม่ แม้เปลี่ยนตัวบุคคลกี่ครั้งก็ตาม
2. มุมของรัฐ
• การใช้กฎหมายและกำลังปิดกั้นการเคลื่อนไหวสามนิ้ว ไม่ได้แก้ปัญหา แต่สร้างความรู้สึกกดทับและผลักดันความสุดโต่ง
• รัฐควรเปลี่ยนระบบให้เปิดกว้าง รับฟัง และเคารพเสรีภาพมากขึ้น
3. มุมของขบวนการสามนิ้ว
• การปล่อยให้อารมณ์โกรธครอบงำ และใช้ hate speech ตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม ทำลายพลังทางศีลธรรมของขบวนการเอง
• ต้องสร้างวัฒนธรรมการต่อสู้เชิงสร้างสรรค์และยึดหลักศีลธรรม แม้ท่ามกลางความขัดแย้ง
4. บทเรียนจาก Zimbardo
• อย่าเพียงโทษบุคคล ต้องตรวจสอบโครงสร้างที่เปิดช่องให้ความชั่วร้ายเกิดขึ้น
• การเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง คือการแก้ไขระบบ ไม่ใช่แค่ไล่ล่าคนผิด
_______________________________________________